Breaking News

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยมหภาคหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า นโยบายการเงินที่ยังคงตึงตัว และแรงกดดันจากมาตรการภาษีระหว่างประเทศ ส่งผลให้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 2025 ลงเหลือ 1,230 จุด จากเดิม 1,460 จุด ซึ่งสะท้อนอัพไซด์เพียง 5% จากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ ในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับระดับลงไปทดสอบ 1,000 จุด ซึ่งอาจกระตุ้นให้ภาครัฐต้องออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจ  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองทิศทางเศรษฐกิจไทย 2568 เสี่ยงหลายปัจจัยลบ ทำภาคการผลิตหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่ 3 คาดแรงส่งจากการท่องเที่ยวช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้แบบจำกัด ขณะที่ ยังคงประมาณการจีดีพีปี 2568 เติบโตที่ 2.4% *** KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2025 มีแนวโน้มโตได้ช้าลงกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้เพียง 2.3% จากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาได้ต่ำกว่าที่คาด ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจลงไปต่ำสุดที่ 1.25% ในปี 2026  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยเศรษฐกิจไทยปี 2567 โต 2.5% ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 2.6% เล็กน้อย GDP ไตรมาส 4 ขยายตัวที่ 3.2% YoY น้อยกว่าที่คาด หลักๆ เป็นผลจากสินค้าคงคลังที่หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามากกว่าที่คาด จากความความเชื่อมโยงระหว่างภาคการผลิตและการส่งออกที่ต่ำกว่าที่ประเมิน โดยแม้การส่งออกจะขยายตัวได้ดีในหลายสินค้า แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังแทบจะไม่ขยายตัว ขณะที่การผลิตภาคเกษตรขยายตัวต่ำ ทั้งเป็นผลจากการปรับฐานในไตรมาส 4/2566 ให้สูงขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้อัตราการขยายตัวในไตรมาส 4/2567 ต่ำกว่าที่คาดไว้  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยการส่งออกไทยในเดือน ธ.ค. 2567 ขยายตัว 8.7%YoY ส่งผลให้ทั้งปีขยายตัวได้ 5.4% โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ จากการเร่งส่งออกสินค้าและวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ • ในปี 2568 การส่งออกไทยมีแนวโน้มเติบโตได้ต่ำกว่าปี 2567 ที่ 2.5% โดยครึ่งปีแรกยังมีแรงหนุนจากการเร่งนำเข้าสินค้าและวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน ธ.ค. 2567 เร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.23% YoY สูงสุดในรอบ 7 เดือน และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 0.79% YoY โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากราคาพลังงานอย่างค่าไฟฟ้าและราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ปรับสูงขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำในเดือน ธ.ค. 2566 เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของทางภาครัฐ ประกอบกับราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มบางรายการปรับตัวสูงขึ้น

PTG ดัน Maxbit ขึ้นแท่นเบอร์ 2 โบรกฯ สินทรัพย์ดิจิทัล

PTG ดัน Maxbit ขึ้นแท่นเบอร์ 2 โบรกฯ สินทรัพย์ดิจิทัล
43
เขียนโดย intrend online 2024-04-10

ปั๊มมาร์เก็ตแชร์ปี 67 อยู่ที่ 9-10% สมาชิกเทรดแตะ 3.5 แสนราย

บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เดินหน้าดันบริษัทร่วมทุน บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (Maxbit) ปูพรมลุยธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ยั้ง หนุนรายได้ธุรกิจ Non-oil กลุ่มพีทีจีให้เติบโตอย่างยั่งยืน ฟาก “ปกเขตร รัชกิจประการ” บิ๊กบอส Maxbit ประกาศเดินหน้าปั๊มสมาชิกเทรดเป็น 3.5 แสนรายในปี 67 พร้อมก้าวสู่เบอร์ 2 ของกลุ่มนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยมาร์เก็ตแชร์ระดับ 9-10%

นายปกเขตร รัชกิจประการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (Maxbit) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) กับพันธมิตร โดย PTG มีสัดส่วนการลงทุนที่ 35% เปิดเผยว่า Maxbit ภายหลังจากที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และประเภทนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล บริษัทฯ ได้เดินหน้าดำเนินธุรกิจนี้ตามแผนที่วางไว้

โดย Maxbit ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) ด้วยวิสัยทัศน์ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมบริการ สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี ในประเทศไทยจากความเข้าใจและสร้างสรรค์ร่วมกัน ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าปี 2567 จะมีสมาชิกซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลประมาณ 350,000 ราย และมั่นใจว่ามาร์เก็ตแชร์ปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 9-10% พร้อมก้าวสู่เบอร์ 2 ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

ทั้งนี้ บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสในธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil Business) ที่เชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้แก่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ได้อย่างมีนัยสำคัญ และเชื่อมั่นว่า Maxbit จะสามารถนำจุดแข็งของบริษัทฯ ที่มีสมาชิก Max Card กว่า 21.5 ล้านสมาชิก รวมถึง Touchpoints กว่า 1.5 ล้าน Touchpoints ของ Max Me มาต่อยอดเป็นลูกค้าของ Maxbit โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าในช่วงวัยทำงานและผู้ที่สนใจในด้านการลงทุน

“การลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทางกลุ่ม PTG มองการเติบโตและคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นสู่อันดับ 2 ในตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคงต้องจับตามองกันต่อไป เพราะหากเราประสบความสำเร็จ สิ่งที่เราพัฒนาขึ้นมานั้น เชื่อว่าจะเปลี่ยนวงการสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยได้จริงๆ รวมถึงจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กลุ่ม PTG จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากธุรกิจ Non-oil อย่างยั่งยืนต่อไป” นายปกเขตร กล่าวในที่สุด