Breaking News

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์จีดีพีไทยปี 2569 ชะลอลงมาอยู่ที่ 1.6% จากอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอลง และยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง เทียบกับที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.0% ในปี 2568 จากอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอลง ส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 คาดว่าจะหดตัวส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ในขณะที่การบริโภคของครัวเรือนได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง มอง กนง. ลดดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้ง อีกทั้งยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง .... ส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 คาดว่าจะหดตัวส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวที่จะยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็มที่ ในขณะที่การบริโภคของครัวเรือนที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง ส่วนหนึ่งจากแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอาจลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง โดยคาด กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายต่ออีก 1 ครั้ง ในปี 2569 นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน

ทีเอ็มบีธนชาต เดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี วงเงิน 21,000 ล. เริ่ม 22 ม.ค. - 4 ก.พ.69

ทีเอ็มบีธนชาต เดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี วงเงิน 21,000 ล. เริ่ม 22 ม.ค. - 4 ก.พ.69
1
เขียนโดย Intrend online 2025-12-16

กำหนดวงเงินครั้งที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 8,900 ล้านบาท เริ่มซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2569 ถึง 4 กุมภาพันธ์ 2569 ด้วยวิธี General Offer ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องตามแผนการบริหารส่วนทุน


กรุงเทพฯ, 16 ธันวาคม 2568 -- ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม 2568 ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี (ปี 2568 - ปี 2570) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสม โดยธนาคารได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 1 ไปแล้วในช่วงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 - 1 สิงหาคม 2568 เป็นจำนวน 2,688 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.76% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,103 ล้านบาท


นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดของโครงการซื้อหุ้นคืนว่า “สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนของทีทีบี ในภาพรวมถือว่ามีความคืบหน้าในเชิงบวก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปลดล็อกกฎการซื้อหุ้นคืน โดยเฉพาะในเรื่องของการยกเลิกระยะเวลาพักคอย (Breaking Period) ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเริ่มโครงการซื้อหุ้นคืนรอบใหม่ได้ทันที ไม่จำเป็นต้องเว้นระยะรอ 6 เดือนหลังจบโครงการเดิม


จากการปลดล็อกดังกล่าว ธนาคารจึงได้ปรับแผนการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 2 ให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม รวมถึงเพิ่มวงเงินซื้อคืนขึ้นเป็น 8,900 ล้านบาท โดยจะใช้วิธี General Offer หรือการเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2569 ถึง 4 กุมภาพันธ์ 2569 รวม 10 วันทำการ ขณะที่ราคารับซื้อหุ้นคืนสุดท้าย (Final Price) จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบภายในวันที่ 5 มกราคม 2569 โดยจะพิจารณาจากราคาตลาดและสภาวะตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวประกอบการกำหนดราคา ซึ่งแผนการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 2 นี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการธนาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568


สำหรับการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 2 นี้ จะเห็นว่าธนาคารใช้วิธีการที่ต่างไปจากครั้งแรก นั่นคือเปลี่ยนจากการจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งใช้ระยะเวลาในการรับซื้อคืนถึง 6 เดือน มาใช้วิธี General Offer เพราะพิจารณาแล้วว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้ธนาคารสามารถซื้อหุ้นคืนด้วยวงเงินที่สูงขึ้นในระยะเวลาที่สั้นลง โดยไม่รบกวนการซื้อขายหรือสภาพคล่องรายวันในตลาดรอง และลดผลกระทบจากภาวะตลาดที่ค่อนข้างผันผวน โดยธนาคารยังคงเป้าหมายการซื้อหุ้นคืนให้ครบตามวงเงินรวม 21,000 ล้านบาท และยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการโครงการอย่างมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ
 

ภายหลังการซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตามการลดลงของส่วนของผู้ถือหุ้นและการลดลงของจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับระดับ ROE จากผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนปี 2568 ที่ 8.6% และ EPS ที่ 0.16 บาท ขณะที่ประเมินแล้วว่าไม่มีผลกระทบต่อระดับเงินกองทุน โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั้งสิ้น (Total CAR) ภายหลังการซื้อหุ้นคืนจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 19% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่เทียบเคียงได้กับธนาคาร D-SIBs แห่งอื่น ๆ รวมถึงยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการเติบโตสินเชื่อตามแผนธุรกิจ”


นายปิติ สรุป “นอกเหนือจากการซื้อหุ้นคืน ทีทีบียังคงเดินหน้าตามแผน Capital Management ในด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอและรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง รวมทั้งการสร้างการเติบโตทางธุรกิจจากภายนอก หรือ Inorganic Growth เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยาว ขณะเดียวกันธนาคารยังเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อให้ทีทีบีเติบโตได้อย่างมั่นคงและสามารถส่งมอบประโยชน์กลับคืนสู่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายได้อย่างยั่งยืน”