Breaking News

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์จีดีพีไทยปี 2569 ชะลอลงมาอยู่ที่ 1.6% จากอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอลง และยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง เทียบกับที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.0% ในปี 2568 จากอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอลง ส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 คาดว่าจะหดตัวส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ในขณะที่การบริโภคของครัวเรือนได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง มอง กนง. ลดดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้ง อีกทั้งยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง .... ส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 คาดว่าจะหดตัวส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวที่จะยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็มที่ ในขณะที่การบริโภคของครัวเรือนที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง ส่วนหนึ่งจากแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอาจลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง โดยคาด กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายต่ออีก 1 ครั้ง ในปี 2569 นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน

SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยปี 69 โตแค่ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต)

SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยปี 69 โตแค่ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต)
1
เขียนโดย Intrend online 2025-12-16

SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยปี 69 โตแค่ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต) พร้อมเปิด 7 คำถามกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย

Key highlights

เศรษฐกิจไทยปี 2569 จะโตแค่ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต) ชะลอตัวลงจาก 2.0% ในปี 2568 โดยมีแรงกดดันหลักมาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และการแข่งขันรุนแรงจากต่างประเทศ และจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเปราะบางในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่กระทบต่อกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศ และข้อจำกัดการคลังภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ไทยต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจรองรับความผันผวนที่รุนแรงขึ้น
 

 

เปิด 7 คำถามชี้ชะตาเศรษฐกิจไทยปี 2569


1.สงครามการค้าและการแข่งขันจากภายนอกกระทบไทยอย่างไร? การส่งออกเสี่ยงจะหดตัว 1.5% จากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ การแข่งขันรุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่ท่องเที่ยวแม้เริ่มฟื้นตัว ขยายตัวประมาณ 4% แต่ยังจะต่ำกว่าระดับก่อนโควิดค่อนข้างมาก โดยมีความท้าทายจาก Tourism war ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น และความกังวลต่อประเด็นความปลอดภัยเพิ่มเติมจากกรณีขัดแย้งกับเพื่อนบ้านที่รุนแรงขึ้น

2.การบริโภคภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบจากความเปราะบางด้านรายได้และหนี้ครัวเรือนอย่างไร? รายได้แรงงานโตช้า ท่ามกลางตลาดแรงงานและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เปราะบางขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนเมื่อเทียบกับรายได้ยังอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงการชำระหนี้ที่เริ่มกระจายไปยังกลุ่มรายได้กลาง-สูงมากขึ้น ครัวเรือนจึงมีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายท่ามกลางกระบวนการลดหนี้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง (Debt deleveraging)

 

 

3.การลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้หรือไม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนในหลายมิติ? การลงทุนภาคเอกชนยังจะขยายตัวได้บ้างจากแรงหนุนของเม็ดเงินต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ผ่านการส่งเสริมของ BOI เป็นสำคัญ แต่การลงทุนลักษณะนี้จะมี Import content สูง ทำให้การลงทุนอาจไม่สร้างประโยชน์ได้เต็มที่ต่อการผลิตในประเทศในระยะสั้น และอาจเพิ่มความเสี่ยง Transshipment tariff กับสหรัฐฯ ในช่วงข้างหน้า ขณะที่การลงทุนของธุรกิจไทยทั้งด้านเครื่องจักรและด้านก่อสร้างจะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา และอัตรากำลังการผลิตที่ยังต่ำ

4.ภาวะการเงินที่ตึงตัวจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นหรือไม่? ในปี 2568 แม้ กนง จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ภาวะการเงินตึงตัวขึ้นมากจากสินเชื่อภาคครัวเรือนและ SME ที่หดตัว และค่าเงินบาทที่แข็งตัวมาก ในปี 2569 SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปีหน้า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจผ่านการลดต้นทุนทางการเงินและลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งเพื่อยกระดับเงินเฟ้อที่น่าจะอยู่ต่ำกว่าเป้าในปีหน้า แต่การเข้าถึงสินเชื่อของครัวเรือนและ SME น่าจะยังท้าทายต่อเนื่อง เนื่องจากฐานะการเงินครัวเรือนและ SME ยังคงเปราะบางท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินจะยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่ออยู่ มาตรการภาครัฐจึงจะมีความสำคัญทั้งมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้แก่ภาคครัวเรือน และมาตรการ Soft loan และการค้ำประกันสินเชื่อแก่ SME อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของมาตรการทางการเงินเหล่านี้ ต้องมาพร้อมมาตรการด้านการเพิ่มรายได้ของภาคครัวเรือน และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ SME ด้วย

 


5.การเมืองไม่แน่นอน กระทบการคลังและเศรษฐกิจอย่างไร? การยุบสภาเร็วขึ้นกว่าไทม์ไลน์เดิมจะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ต่ำกว่าปกติ แต่อาจช่วยให้การประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2570 ล่าช้าน้อยลง อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนข้างหน้ายังสูง และการใช้จ่ายภาครัฐในระยะกลางจะมีข้อจำกัดมากขึ้น จากแรงกดดันปฏิรูปการคลังเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมหนี้สาธารณะ ซึ่งจะเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่ในการสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันเครดิตเรตติงและเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว


6.การปฏิรูปเชิงโครงสร้างคือทางออก เริ่มแล้วจะยั่งยืนแค่ไหน? เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน การปฏิรูปเชิงโครงสร้างเป็นทางออกของประเทศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาครัฐจำเป็นต้องสานต่อสิ่งที่เริ่มไว้แล้วและเร่งเดินหน้านโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยเน้นนโยบายระยะยาวเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เน้นการยกระดับนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชน เช่น การคลายอุปสรรคการลงทุน และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพผ่านแพลตฟอร์มการปฏิรูปประเทศร่วมกับภาคเอกชน (Reinvent Thailand)


7.ธุรกิจไหนไปต่อได้ ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด? ทิศทางธุรกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนบนความท้าทาย 5 ด้าน คือ ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก, กำลังซื้อภาคครัวเรือนที่เปราะบาง, ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ, การแข่งขันรุนแรงในประเทศและต่างประเทศ และแรงกดดันจากเมกะเทรนด์ ภาพรวมธุรกิจในปี 2569 จะยังมีแนวโน้มชะลอตัว ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจ (Subsegment) ที่สามารถปรับตัวและรับมือความเสี่ยงเหล่านี้ได้ดีจะมีโอกาสเติบโตและใช้ประโยชน์จากเมกะเทรนด์ได้ เช่น ธุรกิจที่นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ธุรกิจที่รองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและกระแสความยั่งยืน และธุรกิจที่เจาะตลาดที่มีศักยภาพเติบโต
 

เศรษฐกิจโลกปีหน้าจะชะลอลงจากผลกำแพงภาษีสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น
 

 


SCB EIC มองเศรษฐกิจโลกปี 2569 จะขยายตัวชะลอลงเหลือ 2.5% (จาก 2.7% ปีนี้) ปัจจัยกดดันหลักจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะทำให้การค้าโลกชะลอตัวลง หลังเร่ง Front-loading แต่เศรษฐกิจโลกจะได้แรงขับเคลื่อนหลักจากการลงทุน AI โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และนโยบายการเงินการคลังผ่อนคลาย แม้ข้อจำกัดนโยบายเริ่มชัดขึ้น

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ปีหน้าจะต่ำลงอีก แต่อาจลดเพิ่มไม่มากจากปัญหาเงินเฟ้อ Fed มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยอีก 50 bps ขณะที่ ECB จะคงดอกเบี้ยต่ำไว้ที่ 2% สวนทางกับ BOJ ที่จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยไปที่ระดับ 1% ในช่วงกลางปีหน้า